วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

วิธีการ อบสมุนไพร ข้อห้าม คือ Steamed Herbs Taboos

วิธีการ อบสมุนไพร ข้อห้าม คือ Steamed Herbs Taboos

แม้ว่าการเข้ากระโจมหรือการอบสมุนไพรจะเกิดประโยชน์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่อาจเกิดอันตรายได้ คือ ทำให้วิงเวียน เป็นลม หมดสติ ดังนั้น จึงมีข้อควรระวังและข้อห้ามสำหรับผู้ที่จะเข้ากระโจมหรือการอบสมุนไพร ดังนี้คือ


*** ผู้ที่มีไข้สูง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคปอดโรคลมบ้าหมู อยู่ในภาวะตกเลือด และผู้ที่มีอาการท้องร่วงขั้นรุนแรง ***


หากมีอาการอึดอัด หายใจไม่สะดวกในขณะอบสมุนไพรควรออกจากห้องอบทันที
(ไม่ควรใช้เวลาอบนานเกิน 10 – 15 นาที) ควรเข้าอบ 5 นาที และออกมาพัก 5 นาทีจึงกลับเข้าไปอบใหม่อีกครั้งประมาณ 10 นาที


เมื่อออกจากห้องอบ ไม่ควรตากลมหรืออาบน้ำทันที ควรนั่งพักประมาณ 30 นาที ข้อห้ามในการเข้ากระโจม
มารดาหลังคลอด 1- 2 วันไม่ควรเข้ากระโจม เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ควรทอดระยะออกไปประมาณ 4-5 วัน หลังคลอดให้แน่ใจว่าร่างกายแข็งแรงพอ


มีอาการอ่อนเพลีย อดนอน กำลังหิวข้าว น้ำหรืออิ่มเกินไป


มีอาการเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หรือกำลังคลื่นไส้อาเจียน

Product : Sauna
Website : https://xn--c3ctnc0e7a0bc0d2ie.blogspot.com/
78/77 Kubon-Ramintra Tarang Bangkeng BKK 10220 Thailand
Cell: +66-86-334-3495
Home: +66-61-832-5995

วิธีการ อบสมุนไพร คือ herbal baking

 วิธีการ อบสมุนไพร คือ herbal baking

การอบสมุนไพร herbal baking ทำให้ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณสดใส คลายความเมื่อยล้าแต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับผู้มีปัญหาทางสุขภาพ


การอบสมุนไพร หรือการเข้ากระโจมเป็นสิ่งที่เป็นภูมิปัญญาของไทยที่สืบทอดกันมาหลายยุคสมัย ที่ลูกหลานไทยควรอนุรักษ์ไว้ เพราะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ที่นำไปใช้ การอบสมุนไพรหรือการเข้ากระโจม คือ การอบตัวด้วยไอน้ำที่มาจากสมุนไพร เพราะเชื่อว่าเป็นวิธีกำจัดมลทินต่าง ๆ ที่ปรากฏบนผิวเนื้อให้หมดไป กำจัดน้ำเหลืองเสีย และเป็นการบำรุงผิวหน้าไม่ให้เกิดฝ้า และบำรุงผิวพรรณให้สดใส สมุนไพรที่มักใช้กัน ได้แก่ เปลือกส้มโอ ใบส้มป่อย ว่านน้ำ ตะไคร้ ผักบุ้งล้อม มะกรูด ใบมะขาม ไพล เกลือหยิบมือ แล้วนำสมุนไพรต้มรวมกันในหม้อให้เดือดมีไอพุ่ง แล้วต่อท่อไม้ไผ่เข้าไปในกระโจมหรือยกหม้อยาที่ต้มเดือดพล่านแล้วเข้าไปตั้งไว้ในกระโจมก็ได้ แล้วให้ผู้เข้ากระโจมใช้ผ้าคลุมตัวในลักษณะเหมือนกระโจมเปิดแย้มฝาหม้อให้ไอค่อย ๆ ออกมารมตัวและให้ลืมตาและสูดหายใจเอาไอน้ำเข้าไป สมุนไพรจะทำให้สายตาดีและหายใจโล่ง การเข้ากระโจมมักทำในตอนเช้า ใช้เวลารวมประมาณครึ่งชั่วโมงหรือนานกว่านั้นได้ยิ่งดี จนเหงื่อไหลท่วมตัวราวอาบน้ำ จึงออกจากกระโจมได้ การเข้าอบสมุนไพรแบบนี้ เรียกว่า เข้ากระโจมยา ถ้าหาอะไรไม่ได้ก็ใช้อิฐเผาไฟให้ร้อนจนแดง แล้วนำเข้าไปไว้ในกระโจมต่างหม้อยา จากนั้น ใช้น้ำเกลือราดลงบนอิฐให้เกิดไอพุ่งขึ้นมารมตัว เรียกว่า เข้ากระโจมอิฐ

การอบสมุนไพร,herbal baking


การเข้ากระโจม คล้ายอบตัวด้วยไอน้ำก่อนเข้ากระโจมจะทาตัวด้วยเหล้า การบูร และว่านนางคำ อาจทำเป็นท่อไม้ไผ่ต่อไอน้ำจากหม้อที่ต้มเดือดสอดเข้าในกระโจม หรือยกหม้อยาที่กำลังเดือดเข้าไปในกระโจมด้วย และค่อย ๆ เปิดทีละน้อยให้ไอขึ้นรมหน้า สมุนไพรที่ใช้ในการต้มมี 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 เป็นสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ได้แก่ ใบมะขาม มะกรูดผ่าซีก ใบและฝัก ส้มป่อย สมุนไพรกลุ่มนี้จะเป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามผิวหนังให้ลื่นออกง่าย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด ทำให้ผิวหนังสะอาด และต้านทานต่อเชื้อโรคได้

กลุ่มที่ 2 สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ ใบตะไคร้ ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ไพล ผิวมะกรูด เปราะหอม ว่านน้ำ ใบหนาด กลุ่มนี้มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยลดอาการหวัด คัดจมูก นอกจากนี้ ใบตะไคร้และเหง้าขมิ้นมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย ส่วนไพลมีฤทธิ์ลดอาการบวมอักเสบได้

กลุ่มที่ 3 ได้แก่ พิมเสน การบูร มีสรรพคุณทำให้รู้สึกสดชื่น ช่วยบำรุงหัวใจ และรักษาโรคผิวหนังบางชนิด

จากสมุนไพรทั้ง 3 กลุ่มนี้ จะเห็นได้ว่าการอบสมุนไพรทำให้การไหลเวียนของเลือดเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดการอักเสบ บวม อาการปวดของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ทำให้รูขุมขนขยายออก สิ่งสกปรกถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ และสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านั้นให้ลื่นหลุดออกจากผิวหนังได้ง่าย ช่วยให้ผิวหนังมีความต้านทานต่อเชื้อโรคได้ดีขึ้น ทำให้ข้อที่ฝืดแข็ง ปวด ลดคลายความปวดและฝืดลง ทำให้เหงื่อถูกขับ กลิ่นหอมของสมุนไพรช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใส คลายความเครียด และบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก

ปัจจุบันการอบสมุนไพรมี 2 แบบ ได้แก่การอบแห้งและการอบเปียก โดย การอบแห้งเรียกทับศัพท์ว่า “ เซาว์น่า ” คล้ายคลึงกับการอยู่ไฟของไทย ซึ่งนิยมในต่างประเทศ โดยใช้ความร้อนจากถ่านหินบนเตาร้อน ส่วน การอบเปียกเป็นวิธีที่คนไทยนิยมและแพร่หลายในปัจจุบัน โดยพัฒนาจากการเข้ากระโจม มาเป็นห้องอบสมุนไพรที่ทันสมัยขึ้น สามารถให้บริการได้ครั้งละหลายคน โดยการใช้หม้อต้มสมุนไพรที่มีท่อส่งไอน้ำเข้าไปภายในห้องอบ การอบสมุนไพรของไทยนั้นเป็นการอบไอน้ำร้อน ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในการขับเหงื่อเพื่อรักษาโรคเฉียบพลัน ฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยเรื้อรัง และมารดาหลังคลอด รวมทั้งช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย การเข้ากระโจมอบไอน้ำไม่ควรทำเมื่อรับประทานอาหารอิ่มใหม่ ๆ หรือขณะกำลังหิว และทำในที่ที่ไม่มีลมพัด วิธีการเข้ากระโจมนั้นควรค่อย ๆ เพิ่มความร้อนให้มากขึ้นจนเพียงพอกับความต้องการ และเมื่อจะเลิกก็ลดความร้อนให้ ค่อย ๆ น้อยลงจนเท่าความร้อนปกติของร่างกาย แล้วจึงออกจากกระโจม เพราะการนำเอาผู้ป่วยเข้ากระโจมร้อนทันที และเมื่อเอาออกก็ถูกอากาศเย็นทันทีนั้นเป็นอันตราย อาจทำให้คนช็อกได้ ในการเข้ากระโจม ควรให้ดื่มน้ำใส่เกลือเค็มเล็กน้อย ดื่มบ่อย ๆ ได้จะเป็นการดี และควรมียาแก้ลมไว้ด้วย เมื่อออกจากกระโจมก็ควรห่มผ้าให้อุ่น ๆ ไว้ก่อน เมื่อรู้สึกสบายแล้วจึงเอาผ้าห่มออก และควรอาบน้ำอุ่นชำระร่างกายด้วย เมื่อหลังอาบน้ำควรห่มผ้าและนั่งหรือนอนให้สบายสักครู่ อย่าให้ถูกลม ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีลักษณะเหนียว ๆ และ ร้อน ๆ หลังเข้ากระโจม


ประโยชน์ของการอบสมุนไพร

1.ทำให้ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณสดใส
2.คลายความเมื่อยล้า และบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
3.ช่วยให้ขับเหงื่อ และสามารถลดน้ำหนักได้ดีหากอบสมุนไพร ติดต่อกันภายในระยะเวลา 1 เดือน
4.กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
5.ช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะ
6.ระบบทางเดินหายใจสดชื่น ลดการระคายเคืองในลำคอ
7.ช่วยละลายเสมหะ
8.ชวยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก
9.ช่วยบรรเทาอาการหอบหืดเรื้อรัง
10.ทำให้ปอดขยายตัวได้ดี ระบบหายใจปลอดโปร่ง มีความคล่องตัวมากขึ้นไม่อึดอัด
11.ทำให้ผดผื่นคัน และอาการอักเสบของผิวหนังลดลงไปได้
12.ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย อันก่อให้เกิดโรคกลากเกลื้อน ทำให้ผิวหนังเกลี้ยงเกลา สะอาด มีน้ำมีนวล ไม่หมองคล้ำ
13.ช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะเส้นโลหิตจะขยายออกทำให้โลหิตไหลเวียนสะดวกขึ้น ผิวพรรณจึงผุดผ่อง เปล่งปลั่ง มีเลือดฝาด
14.ช่วยฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น ให้คืนกลับมาแข็งแรงเป็นปกติเร็วขึ้น เสริมสร้างสุขภาพของผู้ที่อ่อนแอ ขี้โรค ให้กลายเป็นคนที่มีสุขภาพดี กระปรี้กระเปร่า มีเรี่ยวแรงดีขึ้น สุขภาพจิตผ่องใส สุขภาพกายแข็งแรง
15.ทำให้มดลูกของสตรีหลังคลอดเข้าอู่ได้เร็วขึ้น ช่วยขับน้ำคาวปลา การอบสมุนไพรจะทำให้สุขภาพร่างกายของสตรีหลังคลอดดีขึ้น แต่จะต้องทำการอบสมุนไพรหลังการคลอดประมาณ 10 วัน จึงจะได้ผลดี เพราะการอบสมุนไพร จะทำให้เกิดเลือดฝาดที่มีสีแดงบริสุทธิ์ขึ้นมานั่นเอง
16.ทำให้ใบหน้านิ่มนวล เกลี้ยงเกลา ผิวหน้าปราศจากความมัน และความหยาบกร้าน
17.ช่วยรักษาสิว ฝ้า ขจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
18.ช่วยแก้อาการเหน็บชา อาการชาตามปลายเท้า ปลายนิ้วมือ แขน และขา
19.ช่วยขจัดความเมื่อยล้า บรรเทาอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ เส้น และเอ็น ให้เบาบางลง
20.ลดไขมันส่วนเกินของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง และส่วนอื่นๆ
ของร่างกายเป็นต้น


ข้อห้ามและข้อควรระวังของการอบสมุนไพร

แม้ว่าการเข้ากระโจมหรือการอบสมุนไพรจะเกิดประโยชน์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่อาจเกิดอันตรายได้ คือ ทำให้วิงเวียน เป็นลม หมดสติ ดังนั้น จึงมีข้อควรระวังและข้อห้ามสำหรับผู้ที่จะเข้ากระโจมหรือการอบสมุนไพร ดังนี้คือ
*** ผู้ที่มีไข้สูง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคปอดโรคลมบ้าหมู อยู่ในภาวะตกเลือด และผู้ที่มีอาการท้องร่วงขั้นรุนแรง ***
หากมีอาการอึดอัด หายใจไม่สะดวกในขณะอบสมุนไพรควรออกจากห้องอบทันที
(ไม่ควรใช้เวลาอบนานเกิน 10 – 15 นาที) ควรเข้าอบ 5 นาที และออกมาพัก 5 นาทีจึงกลับเข้าไปอบใหม่อีกครั้งประมาณ 10 นาที
เมื่อออกจากห้องอบ ไม่ควรตากลมหรืออาบน้ำทันที ควรนั่งพักประมาณ 30 นาทีข้อห้ามในการเข้ากระโจม
มารดาหลังคลอด 1- 2 วันไม่ควรเข้ากระโจม เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ควรทอดระยะออกไปประมาณ 4-5 วัน หลังคลอดให้แน่ใจว่าร่างกายแข็งแรงพอ
มีอาการอ่อนเพลีย อดนอน กำลังหิวข้าว น้ำหรืออิ่มเกินไป
มีอาการเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หรือกำลังคลื่นไส้อาเจียน


วิธีอบสมุนไพร (การเข้ากระโจม)

ปัจจุบันได้เปลี่ยนภาชนะจาก “หม้อต้มดินเหนียว” มาเป็น “หม้อหุงข้าวไฟฟ้า” แทนหรืออาจใช้หม้ออลูมิเนียมแทนได้แต่ต้องมีฝาปิดมิดชิด การต้มสมุนไพรต้องต้มสมุนไพรจนน้ำเดือดพล่าน (ระวังสมุนไพรทะลักออกมานอกหม้อต้ม) จากนั้น ยกหม้อต้มยาไปวางไว้ในกระโจมที่จะใช้อบร่างกาย โดยวางหม้อสมุนไพรไว้ตรงหน้าของผู้เข้ากระโจม เผยอปากหม้อเพียงเล็กน้อย พร้อมกันนั้นให้ใส่การบูรที่บดละเอียดแล้วลงไปในหม้อยาสมุนไพรที่กำลังเดือดจัด โดยค่อย ๆ โรยการบูรลงไปที่ละนิด ๆ กลิ่นอายของการบูรจะนำพาตัวยาสมุนไพรแพร่กระจายออกไป ช่วยให้สูดไอกลิ่นหอมของสมุนไพรเข้าปอดอย่างเต็มที่ จะรู้สึกถึงความโล่งสบายในระบบทางเดินหายใจ และสบายเนื้อสบายตัว

การอบสมุนไพรที่เหมาะสม ควรใช้ระยะเวลาในการอบเพียง 10-15 นาที ไม่ควรมากกว่านั้น เมื่อครบตามกำหนดเวลาออกจากกระโจม และต้องปรับตัวเพื่อสัมผัสกับอากาศภายนอกและรอจนร่างกายแห้งดีแล้วจึงค่อยอาบน้ำ

Product : Sauna
Website : https://xn--c3ctnc0e7a0bc0d2ie.blogspot.com/
78/77 Kubon-Ramintra Tarang Bangkeng BKK 10220 Thailand
Cell: +66-86-334-3495
Home: +66-61-832-5995

ประโยชน์ของการอบซาวน่า,Benefits of taking a sauna

 ประโยชน์ของการอบซาวน่า Benefits of taking a sauna

ประโยชน์ของการอบซาวน่า ,Benefits of taking a sauna

1. หัวใจแข็งแรง

เมื่อผลการศึกษาจากเมืองหนาวอย่างประเทศฟินแลนด์พบว่าซาวน่าส่งผลบวกต่อการทำงานของหัวใจและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เมื่อพวกเขาพบว่าการซาวน่า 4-7 ครั้งต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคลง 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ซาวน่าเพียงสัปดาห์ละครั้ง เนื่องจากเมื่ออุณหภูมิในร่างกายคนเราสูงขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจก็จะเต้นเร็วขึ้นตามไปด้วย ไม่ต่างจากการออกกำลังกายระดับปานกลางที่อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 100-150 ครั้งต่อนาที ส่งผลให้หลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้น ไม่เป็นโรคหลอดเลือดตีบตัน เป็นมิตรกับหัวใจ

2. ดีต่อกล้ามเนื้อ

เพื่อตอบคำถามว่าทำไมฟิตเนสถึงมีห้องซาวน่า ก็เพราะการซาวน่าช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้เร็วขึ้น เพราะเมื่อเลือดไหลเวียนดี เลือดพวกนี้จะลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อที่อ่อนล้าและบอบช้ำจากการถูกใช้งานอย่างหนัก ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ออกกำลังกายได้อึดขึ้นด้วย เพราะร่างกายคนเรามีระดับความทนทานต่อความร้อน การเข้าห้องซาวน่าจะช่วยเพิ่มระดับที่ว่านี้ให้สูงขึ้น ส่งผลดีต่อการเล่นกีฬา คุณจะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหนื่อย แถมเรี่ยวแรงยังดีไม่มีตก

3. ขับไล่สารพิษและความเครียด

หนึ่งในวิธีสุดคลาสสิกที่มนุษย์เราขจัดสารพิษออกจากร่างกายคือเหงื่อ ดังนั้นการนั่งเหงื่อแตกในห้องซาวน่านาน 20 นาทีของคุณจึงไม่สูญเปล่า คุณจะรู้สึกถึงรูขุมขนที่เปิดออกพร้อมเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นตามผิว ก่อนตามมาด้วยความฟินระดับพระกาฬ นอกจากนี้ยังช่วยให้สมองโล่งปลอดโปร่ง หลัง Oklahoma State University ให้กลุ่มคนที่เข้ารับการบำบัดความเครียดส่วนหนึ่งทำซาวน่าควบคู่ไปด้วย ผลปรากฏว่ากลุ่มที่ทำซาวน่าเครียดน้อยกว่าอีกกลุ่มที่ไม่ได้ทำ

4. ผิวพรรณดีขึ้น

เข้าใจได้ไม่ยากเพราะการซาวน่าช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดดี โดยเฉพาะผิวหน้าซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญ เจ้าเลือดที่ว่าจะช่วยบำรุงผิวและขจัดเซลล์ที่ตายไปแล้ว ในขณะที่น้ำมันที่ถูกผลิตขึ้นตามธรรมชาติจะช่วยเรื่องความชุ่มชื่นและยับยั้งแบคทีเรีย ทำให้หน้าเต่งตึงแลดูอ่อนเยาว์

5. เพิ่มภูมิต้านทาน

ต้องยกความดีความชอบให้ระบบไหลเวียนโลหิตดี (สังเกตว่าหลักๆ ประโยชน์ล้วนมาจากการไหลเวียนของเลือด) อย่างข้อนี้เป็นเพราะซาวน่าช่วยเรื่องการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ร่างกายใช้ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย เช่น เชื้อโรคต่างๆ คนที่เข้าห้องซาวน่าเป็นประจำจึงมีเม็ดเลือดขาวปริมาณมาก ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และเมื่อใดที่เจ็บไข้ พวกเขาก็จะหายไวกว่าคนอื่น เวลาที่ใช้ไม่ควรเกิน  10-15 นาที 
คือระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการซาวน่า หลังมีงานวิจัยพบว่าการซาวน่าเป็นเวลานานเกินไปส่งผลต่อจำนวนอสุจิของฝ่ายชาย และควรดื่มน้ำเปล่าตาม 2-3 แก้วหลังซาวน่าเสร็จ

Product : Sauna
Website : https://xn--c3ctnc0e7a0bc0d2ie.blogspot.com/
78/77 Kubon-Ramintra Tarang Bangkeng BKK 10220 Thailand
Cell: +66-86-334-3495
Home: +66-61-832-5995

ตู้อบซาวน่าแบบไม้ คือ,wooden sauna cabinet

ตู้อบซาวน่าแบบไม้ คือ,wooden sauna cabinet

ตู้อบซาวน่าแบบไม้ เป็นตู้อบซาวน่าที่เป็นรุ่นที่สมบูรณ์ สวยงาม มีความแข็งแรงทนทานสูง ใช้งานได้ 1-2 คน มีระบบตั้งเวลา และระบบตั้งค่าความร้อน แบบดิจิตอล มีกระจกใสมองด้านนอกได้ มีระบบวิทยุ และ Mp3 เพื่อความเพลิดเพลิน สินค้าได้มาตราฐานการส่งออก ระบบความปลอดภัยสูง

ตู้อบซาวน่าแบบไม้ ,wooden sauna cabinet
ตู้อบซาวน่าแบบไม้ ,wooden sauna cabinet
ตู้อบซาวน่าแบบไม้ พร้อมใช้งาน (พร้อมเครื่องพ่นไอน้ำ)
ใช้ไฟบ้านได้ ไฟ 220 โวลต์ 1700 วัตต์ มีระบบแสงสว่างภายใน พร้อมชุดควบคุมเวลา และความร้อน ประหยัดค่าไฟ
ตัวโครงสร้างเป็นไม้แข็งแรง ทนทาน
ขนาดกางแล้วอยู่ที่ 190*90*90 ซม. 

-.ราคาเพียง 65,000 บาท ส่งฟรี  >> สั่งซื้อสินค้า

Product : Sauna
Website : https://xn--c3ctnc0e7a0bc0d2ie.blogspot.com/
78/77 Kubon-Ramintra Tarang Bangkeng BKK 10220 Thailand
Cell: +66-86-334-3495
Home: +66-61-832-5995

ตู้อบซาวน่าอาบน้ำได้ คือ,Sauna cabinet can take a shower

ตู้อบซาวน่าอาบน้ำได้ คือ,Sauna cabinet can take a shower

ตู้อบซาวน่าอาบน้ำได้ เป็นแบบทรงกระบอก สามารถใช้งานได้ทั้งเป็นอ่างอาบน้ำร้อน และเครื่องอบไอน้ำได้ คุ้มค่า ทนทาน ออกแบบสวยงาม

ตู้อบซาวน่าอาบน้ำได้ ,Sauna cabinet can take a shower

ตู้อบซาวน่าอาบน้ำได้ ,Sauna cabinet can take a shower

มี 3 สี ชมพู น้ำเงิน ดำ ให้เลือกใช้งาน พร้อมใช้งาน (พร้อมเครื่องพ่นไอน้ำ)
ใช้ไฟบ้านได้ ไฟ 220 โวลต์ 1000 วัตต์ พร้อมชุดรีโมทคอนโทรล ประหยัดค่าไฟ
ตัวโครงสร้างเป็นพีวีซีแข็งแรง ผ้าหนาทนทาน
ขนาดกางแล้วอยู่ที่ 65*70 ซม. พับเก็บได้ 

-.ราคาเพียง 5500 บาท ส่งฟรี  >> สั่งซื้อสินค้า

Product : Sauna
Website : https://xn--c3ctnc0e7a0bc0d2ie.blogspot.com/
78/77 Kubon-Ramintra Tarang Bangkeng BKK 10220 Thailand
Cell: +66-86-334-3495
Home: +66-61-832-5995




ตู้อบซาวน่า ราคาถูกพิเศษ ,cheap sauna room

ตู้อบซาวน่า ราคาถูกพิเศษ ,cheap sauna room

ตู้อบซาวน่าแบบพับเก็บได้ สามารถอบได้ทั้งตัว มีช่องมองออกด้านหน้า พร้อมหม้อไอน้ำแบบระบบดิจิตอล (เป็นตัวเลข) พร้อมระบบรีโมทคอนโทรล ช่วยในการลดการอุดตันของสิว เปิดรูขุมขนให้ผิวกระจ่างใส ลดรอยด่างดำ แลดูสุขภาพดี

ตู้อบซาวน่าราคาถูก cheap sauna roomตู้อบซาวน่าราคาถูก cheap sauna roomตู้อบซาวน่าราคาถูก cheap sauna room

มี 3 สี แดง ฟ้า ม่วง ให้เลือกใช้งาน พร้อมใช้งาน
ใช้ไฟบ้านได้ ไฟ 220 โวลต์ 1000 วัตต์ พร้อมชุดรีโมทคอนโทรล ประหยัดค่าไฟ
ตัวโครงสร้างเป็นสแตนเลส 304 ไม่มีสนิม ผ้าหนาทนทาน
ขนาดกางแล้วอยู่ที่ 73*73*118 ซม. พับเก็บได้ มีซิปเปิดปิดได้จากด้านใน พร้อมช่องมองด้านนอก

-.ราคาเพียง 5500 บาท ส่งฟรี  >> สั่งซื้อสินค้า

Product : Sauna
Website : https://xn--c3ctnc0e7a0bc0d2ie.blogspot.com/
78/77 Kubon-Ramintra Tarang Bangkeng BKK 10220 Thailand
Cell: +66-86-334-3495
Home: +66-61-832-5995

วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

ตู้อบซาวน่า,ตู้อบซาวน่าราคาถูก,ตู้อบซาวน่าอินฟาเรด,ตู้อบสมุนไพร,ตู้อบซาวน่าราคาเท่าไหร่,ตู้อบซาวน่าราคา

ตู้อบซาวน่า (Sauna) ติดตั้งง่าย"ใช้อาบน้ำ"หรือ"ใช้อบซาวน่า"ก็ได้ พร้อมเครื่องกำเนิดไอน้ำพร้อมใช้งาน สวยงามทนทาน

ตู้อบซาวน่า (Sauna) มีส่วนประกอบดังนี้คือ
ตัวถังสำหรับไว้ให้คนเข้าไปอบไอน้ำหรือ ใช้อาบน้ำ ด้านบนมีผ้าใบปิดกันไม่ให้ไอน้ำ ออกมา,ตู้อบซาวน่า มีวาวล์สำหรับปิดเปิดถ่ายน้ำออกเวลาต้องการเลิกใช้งาน,ตู้อบซาวน่า มีเครื่องพ่นไอน้ำ ใช้สำหรับการอบไอน้ำใช้แบบระบบไฟฟ้าเสียบไฟเมื่อต้องการใช้งาน,ตู้อบซาวน่า

ตู้อบซาวน่า


ประโยชน์ของการซาวน่า

1. หัวใจแข็งแรง

เมื่อผลการศึกษาจากเมืองหนาวอย่างประเทศฟินแลนด์พบว่าซาวน่าส่งผลบวกต่อการทำงานของหัวใจและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เมื่อพวกเขาพบว่าการซาวน่า 4-7 ครั้งต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคลง 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ซาวน่าเพียงสัปดาห์ละครั้ง เนื่องจากเมื่ออุณหภูมิในร่างกายคนเราสูงขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจก็จะเต้นเร็วขึ้นตามไปด้วย ไม่ต่างจากการออกกำลังกายระดับปานกลางที่อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 100-150 ครั้งต่อนาที ส่งผลให้หลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้น ไม่เป็นโรคหลอดเลือดตีบตัน เป็นมิตรกับหัวใจ

2. ดีต่อกล้ามเนื้อ

เพื่อตอบคำถามว่าทำไมฟิตเนสถึงมีห้องซาวน่า ก็เพราะการซาวน่าช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้เร็วขึ้น เพราะเมื่อเลือดไหลเวียนดี เลือดพวกนี้จะลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อที่อ่อนล้าและบอบช้ำจากการถูกใช้งานอย่างหนัก ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ออกกำลังกายได้อึดขึ้นด้วย เพราะร่างกายคนเรามีระดับความทนทานต่อความร้อน การเข้าห้องซาวน่าจะช่วยเพิ่มระดับที่ว่านี้ให้สูงขึ้น ส่งผลดีต่อการเล่นกีฬา คุณจะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหนื่อย แถมเรี่ยวแรงยังดีไม่มีตก

3. ขับไล่สารพิษและความเครียด

หนึ่งในวิธีสุดคลาสสิกที่มนุษย์เราขจัดสารพิษออกจากร่างกายคือเหงื่อ ดังนั้นการนั่งเหงื่อแตกในห้องซาวน่านาน 20 นาทีของคุณจึงไม่สูญเปล่า คุณจะรู้สึกถึงรูขุมขนที่เปิดออกพร้อมเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นตามผิว ก่อนตามมาด้วยความฟินระดับพระกาฬ นอกจากนี้ยังช่วยให้สมองโล่งปลอดโปร่ง หลัง Oklahoma State University ให้กลุ่มคนที่เข้ารับการบำบัดความเครียดส่วนหนึ่งทำซาวน่าควบคู่ไปด้วย ผลปรากฏว่ากลุ่มที่ทำซาวน่าเครียดน้อยกว่าอีกกลุ่มที่ไม่ได้ทำ

4. ผิวพรรณดีขึ้น

เข้าใจได้ไม่ยากเพราะการซาวน่าช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะผิวหน้าซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญ เจ้าเลือดที่ว่าจะช่วยบำรุงผิวและขจัดเซลล์ที่ตายไปแล้ว ในขณะที่น้ำมันที่ถูกผลิตขึ้นตามธรรมชาติจะช่วยเรื่องความชุ่มชื่นและยับยั้งแบคทีเรีย ทำให้หน้าเต่งตึงแลดูอ่อนเยาว์

5. เพิ่มภูมิต้านทาน

ต้องยกความดีความชอบให้ระบบไหลเวียนโลหิต (สังเกตว่าหลักๆ ประโยชน์ล้วนมาจากการไหลเวียนของเลือด) อย่างข้อนี้เป็นเพราะซาวน่าช่วยเรื่องการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ร่างกายใช้ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย เช่น เชื้อโรคต่างๆ คนที่เข้าห้องซาวน่าเป็นประจำจึงมีเม็ดเลือดขาวปริมาณมาก ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และเมื่อใดที่เจ็บไข้ พวกเขาก็จะหายไวกว่าคนอื่น เวลาที่ใช้ไม่ควรเกิน  10-15 นาที 
คือระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการซาวน่า หลังมีงานวิจัยพบว่าการซาวน่าเป็นเวลานานเกินไปส่งผลต่อจำนวนอสุจิของฝ่ายชาย และควรดื่มน้ำเปล่าตาม 2-3 แก้วหลังซาวน่าเสร็จ


การอบสมุนไพรทำให้ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณสดใส คลายความเมื่อยล้าแต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับผู้มีปัญหาทางสุขภาพ

การอบสมุนไพรหรือการเข้ากระโจมเป็นสิ่งที่เป็นภูมิปัญญาของไทยที่สืบทอดกันมาหลายยุคสมัย ที่ลูกหลานไทยควรอนุรักษ์ไว้ เพราะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ที่นำไปใช้ การอบสมุนไพรหรือการเข้ากระโจม คือ การอบตัวด้วยไอน้ำที่มาจากสมุนไพร เพราะเชื่อว่าเป็นวิธีกำจัดมลทินต่าง ๆ ที่ปรากฏบนผิวเนื้อให้หมดไป กำจัดน้ำเหลืองเสีย และเป็นการบำรุงผิวหน้าไม่ให้เกิดฝ้า และบำรุงผิวพรรณให้สดใส สมุนไพรที่มักใช้กัน ได้แก่ เปลือกส้มโอ ใบส้มป่อย ว่านน้ำ ตะไคร้ ผักบุ้งล้อม มะกรูด ใบมะขาม ไพล เกลือหยิบมือ แล้วนำสมุนไพรต้มรวมกันในหม้อให้เดือดมีไอพุ่ง แล้วต่อท่อไม้ไผ่เข้าไปในกระโจมหรือยกหม้อยาที่ต้มเดือดพล่านแล้วเข้าไปตั้งไว้ในกระโจมก็ได้ แล้วให้ผู้เข้ากระโจมใช้ผ้าคลุมตัวในลักษณะเหมือนกระโจมเปิดแย้มฝาหม้อให้ไอค่อย ๆ ออกมารมตัวและให้ลืมตาและสูดหายใจเอาไอน้ำเข้าไป สมุนไพรจะทำให้สายตาดีและหายใจโล่ง การเข้ากระโจมมักทำในตอนเช้า ใช้เวลารวมประมาณครึ่งชั่วโมงหรือนานกว่านั้นได้ยิ่งดี จนเหงื่อไหลท่วมตัวราวอาบน้ำ จึงออกจากกระโจมได้ การเข้าอบสมุนไพรแบบนี้ เรียกว่า เข้ากระโจมยา ถ้าหาอะไรไม่ได้ก็ใช้อิฐเผาไฟให้ร้อนจนแดง แล้วนำเข้าไปไว้ในกระโจมต่างหม้อยา จากนั้น ใช้น้ำเกลือราดลงบนอิฐให้เกิดไอพุ่งขึ้นมารมตัว เรียกว่า เข้ากระโจมอิฐ

การเข้ากระโจม คล้ายอบตัวด้วยไอน้ำก่อนเข้ากระโจมจะทาตัวด้วยเหล้า การบูร และว่านนางคำ อาจทำเป็นท่อไม้ไผ่ต่อไอน้ำจากหม้อที่ต้มเดือดสอดเข้าในกระโจม หรือยกหม้อยาที่กำลังเดือดเข้าไปในกระโจมด้วย และค่อย ๆ เปิดทีละน้อยให้ไอขึ้นรมหน้า สมุนไพรที่ใช้ในการต้มมี 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 เป็นสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ได้แก่ ใบมะขาม มะกรูดผ่าซีก ใบและฝัก ส้มป่อย สมุนไพรกลุ่มนี้จะเป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามผิวหนังให้ลื่นออกง่าย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด ทำให้ผิวหนังสะอาด และต้านทานต่อเชื้อโรคได้

กลุ่มที่ 2 สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ ใบตะไคร้ ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ไพล ผิวมะกรูด เปราะหอม ว่านน้ำ ใบหนาด กลุ่มนี้มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยลดอาการหวัด คัดจมูก นอกจากนี้ ใบตะไคร้และเหง้าขมิ้นมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย ส่วนไพลมีฤทธิ์ลดอาการบวมอักเสบได้

กลุ่มที่ 3 ได้แก่ พิมเสน การบูร มีสรรพคุณทำให้รู้สึกสดชื่น ช่วยบำรุงหัวใจ และรักษาโรคผิวหนังบางชนิด

จากสมุนไพรทั้ง 3 กลุ่มนี้ จะเห็นได้ว่าการอบสมุนไพรทำให้การไหลเวียนของเลือดเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดการอักเสบ บวม อาการปวดของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ทำให้รูขุมขนขยายออก สิ่งสกปรกถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ และสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านั้นให้ลื่นหลุดออกจากผิวหนังได้ง่าย ช่วยให้ผิวหนังมีความต้านทานต่อเชื้อโรคได้ดีขึ้น ทำให้ข้อที่ฝืดแข็ง ปวด ลดคลายความปวดและฝืดลง ทำให้เหงื่อถูกขับ กลิ่นหอมของสมุนไพรช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใส คลายความเครียด และบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก

ปัจจุบันการอบสมุนไพรมี 2 แบบ ได้แก่การอบแห้งและการอบเปียก โดย การอบแห้งเรียกทับศัพท์ว่า “ เซาว์น่า ” คล้ายคลึงกับการอยู่ไฟของไทย ซึ่งนิยมในต่างประเทศ โดยใช้ความร้อนจากถ่านหินบนเตาร้อน ส่วน การอบเปียกเป็นวิธีที่คนไทยนิยมและแพร่หลายในปัจจุบัน โดยพัฒนาจากการเข้ากระโจม มาเป็นห้องอบสมุนไพรที่ทันสมัยขึ้น สามารถให้บริการได้ครั้งละหลายคน โดยการใช้หม้อต้มสมุนไพรที่มีท่อส่งไอน้ำเข้าไปภายในห้องอบ การอบสมุนไพรของไทยนั้นเป็นการอบไอน้ำร้อน ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในการขับเหงื่อเพื่อรักษาโรคเฉียบพลัน ฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยเรื้อรัง และมารดาหลังคลอด รวมทั้งช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย การเข้ากระโจมอบไอน้ำไม่ควรทำเมื่อรับประทานอาหารอิ่มใหม่ ๆ หรือขณะกำลังหิว และทำในที่ที่ไม่มีลมพัด วิธีการเข้ากระโจมนั้นควรค่อย ๆ เพิ่มความร้อนให้มากขึ้นจนเพียงพอกับความต้องการ และเมื่อจะเลิกก็ลดความร้อนให้ ค่อย ๆ น้อยลงจนเท่าความร้อนปกติของร่างกาย แล้วจึงออกจากกระโจม เพราะการนำเอาผู้ป่วยเข้ากระโจมร้อนทันที และเมื่อเอาออกก็ถูกอากาศเย็นทันทีนั้นเป็นอันตราย อาจทำให้คนช็อกได้ ในการเข้ากระโจม ควรให้ดื่มน้ำใส่เกลือเค็มเล็กน้อย ดื่มบ่อย ๆ ได้จะเป็นการดี และควรมียาแก้ลมไว้ด้วย เมื่อออกจากกระโจมก็ควรห่มผ้าให้อุ่น ๆ ไว้ก่อน เมื่อรู้สึกสบายแล้วจึงเอาผ้าห่มออก และควรอาบน้ำอุ่นชำระร่างกายด้วย เมื่อหลังอาบน้ำควรห่มผ้าและนั่งหรือนอนให้สบายสักครู่ อย่าให้ถูกลม ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีลักษณะเหนียว ๆ และ ร้อน ๆ หลังเข้ากระโจม


ประโยชน์ของการอบสมุนไพร

1.ทำให้ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณสดใส
2.คลายความเมื่อยล้า และบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
3.ช่วยให้ขับเหงื่อ และสามารถลดน้ำหนักได้ดีหากอบสมุนไพร ติดต่อกันภายในระยะเวลา 1 เดือน
4.กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
5.ช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะ
6.ระบบทางเดินหายใจสดชื่น ลดการระคายเคืองในลำคอ
7.ช่วยละลายเสมหะ
8.ชวยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก
9.ช่วยบรรเทาอาการหอบหืดเรื้อรัง
10.ทำให้ปอดขยายตัวได้ดี ระบบหายใจปลอดโปร่ง มีความคล่องตัวมากขึ้นไม่อึดอัด
11.ทำให้ผดผื่นคัน และอาการอักเสบของผิวหนังลดลงไปได้
12.ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย อันก่อให้เกิดโรคกลากเกลื้อน ทำให้ผิวหนังเกลี้ยงเกลา สะอาด มีน้ำมีนวล ไม่หมองคล้ำ
13.ช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะเส้นโลหิตจะขยายออกทำให้โลหิตไหลเวียนสะดวกขึ้น ผิวพรรณจึงผุดผ่อง เปล่งปลั่ง มีเลือดฝาด
14.ช่วยฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น ให้คืนกลับมาแข็งแรงเป็นปกติเร็วขึ้น เสริมสร้างสุขภาพของผู้ที่อ่อนแอ ขี้โรค ให้กลายเป็นคนที่มีสุขภาพดี กระปรี้กระเปร่า มีเรี่ยวแรงดีขึ้น สุขภาพจิตผ่องใส สุขภาพกายแข็งแรง
15.ทำให้มดลูกของสตรีหลังคลอดเข้าอู่ได้เร็วขึ้น ช่วยขับน้ำคาวปลา การอบสมุนไพรจะทำให้สุขภาพร่างกายของสตรีหลังคลอดดีขึ้น แต่จะต้องทำการอบสมุนไพรหลังการคลอดประมาณ 10 วัน จึงจะได้ผลดี เพราะการอบสมุนไพร จะทำให้เกิดเลือดฝาดที่มีสีแดงบริสุทธิ์ขึ้นมานั่นเอง
16.ทำให้ใบหน้านิ่มนวล เกลี้ยงเกลา ผิวหน้าปราศจากความมัน และความหยาบกร้าน
17.ช่วยรักษาสิว ฝ้า ขจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
18.ช่วยแก้อาการเหน็บชา อาการชาตามปลายเท้า ปลายนิ้วมือ แขน และขา
19.ช่วยขจัดความเมื่อยล้า บรรเทาอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ เส้น และเอ็น ให้เบาบางลง
20.ลดไขมันส่วนเกินของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง และส่วนอื่นๆ
ของร่างกายเป็นต้น


ข้อห้ามและข้อควรระวังของการอบสมุนไพร

แม้ว่าการเข้ากระโจมหรือการอบสมุนไพรจะเกิดประโยชน์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่อาจเกิดอันตรายได้ คือ ทำให้วิงเวียน เป็นลม หมดสติ ดังนั้น จึงมีข้อควรระวังและข้อห้ามสำหรับผู้ที่จะเข้ากระโจมหรือการอบสมุนไพร ดังนี้คือ
*** ผู้ที่มีไข้สูง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคปอดโรคลมบ้าหมู อยู่ในภาวะตกเลือด และผู้ที่มีอาการท้องร่วงขั้นรุนแรง ***
หากมีอาการอึดอัด หายใจไม่สะดวกในขณะอบสมุนไพรควรออกจากห้องอบทันที
(ไม่ควรใช้เวลาอบนานเกิน 10 – 15 นาที) ควรเข้าอบ 5 นาที และออกมาพัก 5 นาทีจึงกลับเข้าไปอบใหม่อีกครั้งประมาณ 10 นาที
เมื่อออกจากห้องอบ ไม่ควรตากลมหรืออาบน้ำทันที ควรนั่งพักประมาณ 30 นาทีข้อห้ามในการเข้ากระโจม
มารดาหลังคลอด 1- 2 วันไม่ควรเข้ากระโจม เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ควรทอดระยะออกไปประมาณ 4-5 วัน หลังคลอดให้แน่ใจว่าร่างกายแข็งแรงพอ
มีอาการอ่อนเพลีย อดนอน กำลังหิวข้าว น้ำหรืออิ่มเกินไป
มีอาการเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หรือกำลังคลื่นไส้อาเจียน


วิธีอบสมุนไพร (การเข้ากระโจม)

ปัจจุบันได้เปลี่ยนภาชนะจาก “หม้อต้มดินเหนียว” มาเป็น “หม้อหุงข้าวไฟฟ้า” แทนหรืออาจใช้หม้ออลูมิเนียมแทนได้แต่ต้องมีฝาปิดมิดชิด การต้มสมุนไพรต้องต้มสมุนไพรจนน้ำเดือดพล่าน (ระวังสมุนไพรทะลักออกมานอกหม้อต้ม) จากนั้น ยกหม้อต้มยาไปวางไว้ในกระโจมที่จะใช้อบร่างกาย โดยวางหม้อสมุนไพรไว้ตรงหน้าของผู้เข้ากระโจม เผยอปากหม้อเพียงเล็กน้อย พร้อมกันนั้นให้ใส่การบูรที่บดละเอียดแล้วลงไปในหม้อยาสมุนไพรที่กำลังเดือดจัด โดยค่อย ๆ โรยการบูรลงไปที่ละนิด ๆ กลิ่นอายของการบูรจะนำพาตัวยาสมุนไพรแพร่กระจายออกไป ช่วยให้สูดไอกลิ่นหอมของสมุนไพรเข้าปอดอย่างเต็มที่ จะรู้สึกถึงความโล่งสบายในระบบทางเดินหายใจ และสบายเนื้อสบายตัว

การอบสมุนไพรที่เหมาะสม ควรใช้ระยะเวลาในการอบเพียง 10-15 นาที ไม่ควรมากกว่านั้น เมื่อครบตามกำหนดเวลาออกจากกระโจม และต้องปรับตัวเพื่อสัมผัสกับอากาศภายนอกและรอจนร่างกายแห้งดีแล้วจึงค่อยอาบน้ำ



Product : Sauna
Website : https://xn--c3ctnc0e7a0bc0d2ie.blogspot.com/
78/77 Kubon-Ramintra Tarang Bangkeng BKK 10220 Thailand
Cell: +66-86-334-3495
Home: +66-61-832-5995